เลเวอเรจทางการเงินให้นักลงทุน Forex รายย่อยสามารถใช้เงินทุนที่ต่ำกว่าราคาตลาดจริงในการลงทุน โดยพื้นฐานแล้ว เลเวอเรจอยู่ในรูปของเงินกู้ที่นักลงทุนกู้จากโบรกเกอร์ของตน ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้โดยไม่ต้องลงเงินทุนจำนวนมาก
เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีเลเวอเรจทางการเงิน
โดยทั่วไป การลงทุนในตลาด Forex สามารถทำได้ในสถาบันการเงินขนาดใหญ่และบุคคลธรรมดาที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงเท่านั้น เนื่องจากในการทำกำไรปริมาณมากจากการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างเล็กน้อยในแต่ละวันในตลาด Forex ได้นั้น นักลงทุนต้องลงทุนเงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่โดยปกตินักลงทุนรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีอินเทอร์เน็ตและความก้าวหน้าอื่นๆ ทางเทคโนโลยี ขณะนี้ตลาด Forex จึงสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบายโดยทุกคนจากที่บ้านของตน ปริมาณการซื้อขายต่อวันในตลาด Forex เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในทศวรรษที่ผ่านมาในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเข้าสู่ตลาดในจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเติบโตที่รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี้เป็นผลจากการที่มีหุ้น Forex เช่น สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง (CFDs) ซึ่งให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรว่าสกุลเงินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงเอง
เลเวอเรจทางการเงินเป็นแง่มุมที่สำคัญของการเทรดหุ้นต่างๆ เช่น CFDs เนื่องจากนักลงทุนจะสามารถเข้าสู่ตลาดด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นค่อนข้างน้อยได้ โดยการใช้เลเวอเรจทางการเงิน การเทรดที่โดยปกติจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จะสามารถดำเนินการได้ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการเข้าตลาดสามารถเริ่มต้นลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราได้
เลเวอเรจทางการเงินทำงานอย่างไร
เลเวอเรจทางการเงินแสดงในรูปอัตราส่วน เช่น 1:1, 1:10, 1:100 จำนวนเลเวอเรจที่ใช้และเงินลงทุนเริ่มต้นของนักลงทุนเป็นตัวกำหนดขนาดของการเทรดที่นักลงทุนจะสามารถควบคุมได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เลเวอเรจทางการเงินที่ระดับต่างๆ จะมีผลกับขนาดเทรดที่นักลงทุนสามารถเข้าถึงได้ดังนี้:
เลเวอเรจ | ขนาดการเทรด |
---|---|
1:1 (ไม่มีเลเวอเรจ) | $1,000 |
1:5 | $5,000 |
1:10 | $10,000 |
1:20 | $20,000 |
1:50 | $50,000 |
1:100 | $100,000 |
สามารถมองเห็นได้จากตารางข้างต้นว่า ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง ขนาดการเทรดที่นักลงทุนสามารถควบคุมได้จะยิ่งมากขึ้นเทานั้น แม้ว่าการใช้เลเวอเรจอาจเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุน แต่เลเวอเรจก็ยังทำให้เกิดความเสี่ยงเช่นกัน เพื่อให้เข้าใจอย่างละเอียดว่าเลเวอเรจทางการเงินสามารถเพิ่มผลกำไรและทำให้เกิดการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไรนั้น นักลงทุนต้องเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับมาร์จิ้นก่อนเป็นอันดับแรก
มาร์จิ้นคืออะไร
โดยพื้นฐานแล้ว มาร์จิ้นคือหลักประกันที่จำเป็นในการใช้เลเวอเรจทางการเงิน มาร์จิ้นเป็นจำนวนเงินที่นักลงทุนต้องมีในบัญชีของตน และจำนวนนี้จะสำรองไว้เมื่อเปิดการเทรดโดยใช้เลเวอเรจ ยอดของมาร์จิ้นที่จำเป็นจะขึ้นอยู่กับขนาดของการเทรดที่ดำเนินการและเลเวอเรจที่ใช้ เมื่อใช้ขนาดเทรดที่ 1 ล็อตมาตรฐาน ($100,000) มาร์จิ้นที่จำเป็นจะเปลี่ยนแปลงดังนี้ โดยอิงตามเลเวอเรจที่ใช้:
เลเวอเรจ | มาร์จิ้นที่ต้องใช้ |
---|---|
1:1 | 100% |
1:5 | 20% |
1:10 | 10% |
1:20 | 5% |
1:50 | 2% |
1:100 | 1% |
สามารถมองเห็นได้จากตารางข้างต้นว่า ยิ่งใช้เลเวอเรจทางการเงินสูง มาร์จิ้นที่จำเป็นในการเปิดสถานะในตลาดจะยิ่งต่ำลงเท่านั้น ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการเปิดสถานะซื้อขายในตลาดที่ 1 ล็อตมาตรฐาน ($100,000) โดยใช้เลเวอเรจทางการเงินที่ 1:50 นักลงทุนจะต้องมีเงิน 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในบัญชีของตน ซึ่งจะนำมาใช้เป็นมาร์จิ้น
ประโยชน์และความเสี่ยงของเลเวอเรจทางการเงิน
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เลเวอเรจทางการเงินเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนที่มีเงินลงทุนน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้เลเวอเรจจะสามารถเพิ่มกำไรที่นักลงทุนอาจได้รับ แต่เลเวอเรจยังมีความเสี่ยงบางประการและอาจทำให้เกิดการขาดทุนเพิ่มขึ้น
นักลงทุนที่เข้าสู่ตลาดโดยมีเงินลงทุนต่ำเกินไปและใช้เลเวอเรจมากเกินไปอาจเห็นได้ว่าเงินลงทุนของตนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมีการเคลื่อนไหวของตลาดเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมาร์จิ้นที่จำเป็นเพื่อรับประกันสถานะที่ใช้เลเวอเรจ หากนักลงทุนเลือกใช้เลเวอเรจที่สูงและลงทุนเงินเพียงเล็กน้อย เงินลงทุนเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมดของนักลงทุนจะถูกสำรองไว้เป็นมาร์จิ้น ซึ่งหมายความว่า หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดการณ์ นักลงทุนมีแนวโน้มจะสูญเสียเงินลงทุนของตนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว
ดังนั้น จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดเป็นครั้งแรกต้องมีความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับทั้งเลเวอเรจและมาร์จิ้น รวมถึงการทำงานของตลาด Forex ก่อนที่จะส่งคำสั่งซื้อขายแรกของตน นอกจากนี้ กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมก็มีความจำเป็น ซึ่งรวมถึงการใช้เลเวอเรจในระดับที่เหมาะสมตามเงินทุนที่มี รวมถึงการใช้ระดับ Stop Loss และ Take Profit ประการสุดท้าย แนะนำให้ผู้เริ่มต้นเริ่มเทรดในบัญชีทดลองก่อนลงทุนด้วยเงินจริง เนื่องจากจะทำให้นักลงทุนเข้าใจตลาดและคิดกลยุทธ์การเทรดของตนโดยไม่มีความเสี่ยงต่อเงินทุนของตน